ศรีสุวรรณ จรรยา ร้อง ผู้ตรวจการแผ่นดิน กรณี กรมปศุสัตว์ปิดข่าว ไม่ประกาศ หมูติดเชื้ออหิวาห์ที่เชียงราย ลามไปทั่วประเทศ หมูราคาพุ่ง ทำรายเล็กเดือดร้อน เอื้อประโยชน์นายทุน วันนี้ 12 ม.ค.65 ศรีสุวรรณ จรรยา โพสต์ลงเฟซบุ๊ก “ศรีสุวรรณ จรรยา” ถึงเหตุการณ์ที่ตนบุกเข้าร้อง ผู้ตรวจการแผ่นดิน กรณี กรมปศุสัตว์ปกปิดข้อมูลการแพร่ระบาดของเชื้ออหิวาต์ในหมู
เชื้อโรคอหิวาห์ที่ระบาดในหมูไทยตัวแรก อยู่ที่ จ.เชียงราย
โดยพบตั้งแต่ปี 2562 แต่กลับไม่มีประกาศใดๆจาก กรมปศุสัตว์ เกิดการตั้งคำถามว่าทำเช่นนี้ เป็นการเอื้อประโยชน์ให้นายทุนหรือไม่ พร้อมกล่าวถึงอุตสาหกรรมส่งออกหมูไปต่างประเทศของนายทุนไม่ประสบปัญหาใดๆ แต่ผู้ค้าหมูรายย่อยทั่วประเทศต้องแบกรับต้นทุนที่สูงขึ้นเนื่องจากโรคระบาดทำให้หมูพร้อมบริโภคน้อยลง และผู้บริโภคต้องจ่ายราคาหมูที่สูงขึ้น โดยระบุรายละเอียดในโพสต์ว่า
“ศรีสุวรรณบุกร้องผู้ตรวจราชการแผ่นดินสอบบริษัทใดได้ประโยชน์จากการปกปิดข้อมูลการระบาดของโรคอหิวาต์
วันนี้ เวลา 10.00 น. ที่สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ได้เดินทางมายื่นคำร้องต่อผู้ตรวจการแผ่นดิน
กรณีเป็นที่สงสัยว่าบริษัทใดได้ประโยชน์จากการปกปิดข้อมูลการแพร่ระบาดของเชื้ออหิวาต์แอฟริกาในสุกร (ASF) ทั้งๆที่มีรายงานว่าไทยพบหมูติดเชื้อ ASF ตัวแรกในจ.เชียงรายตั้งแต่ปี 2562 แต่กรมปศุสัตว์กลับไม่ยอมประกาศว่าพบการระบาด อันเป็นข้อพิรุธว่าจะเป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับบริษัทยักษ์ใหญ่แห่งวงการเลี้ยงหมูหรือไม่
การปกปิดข้อมูลการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสอหิวาต์หมู (ASF) ที่ส่งผลให้ผู้เลี้ยงหมูรายย่อย ล้มหายไปเป็นจำนวนมากแต่กรมปศุสัตว์กลับอ้างเป็นโรคเพิร์ส(PRRS) ซึ่งอยู่ในประเทศไทยมานานแล้ว จึงไม่มีมาตรการออกมารองรับตามที่ พรบ.โรคระบาด 2558 กำหนดไว้ เป็นเหตุให้หมูแพงกว่าเท่าตัว เดือดร้อนกันไปทั่วทุกหย่อมหญ้า และทำให้สินค้าอื่นๆ ใช้เป็นข้ออ้างในการขึ้นราคาสินค้าที่เกี่ยวข้องกันเป็นทิวแถว
การปิดบังข้อมูลโรคระบาดเป็นการเอื้อประโยชน์ให้บางบริษัทสามารถส่งออกหมูได้เพิ่มขึ้น ตัวอย่างเช่น การส่งออกหมูมีชีวิตไปยังประเทศเพื่อนบ้านเพิ่มขึ้นจาก 3,571 ล้านบาทในปี 2562 เพิ่มเป็น 15,863 ล้านบาทในปี 2563 และค่อยลดลงหลังกัมพูชาและเวียดนามตรวจพบว่าหมูจากไทยติดเชื้อ ASF แต่ผลประโยชน์หลักหมื่นล้านบาทนั้น ต้องแลกกับการที่คนไทยต้องซื้อหมูแพงขึ้น
กรณีดังกล่าวองค์กรไบโอไทยได้คำนวนจากราคาหมูแพงจากฐานราคาหมูเนื้อแดง 142 บาท/ก.ก. ก่อนพบโรคระบาด และคาดการณ์ว่าราคาหมูจะแพงขึ้นอย่างน้อย 2 เท่าตัวเมื่อเกิดโรคระบาดขึ้น พบว่าคนไทยซึ่งบริโภคหมูเฉลี่ยคนละ 24 ก.ก./ปี จะต้องใช้จ่ายเงินเพิ่มขึ้นเพื่อซื้อหมูที่แพงขึ้นอย่างน้อย 200,000 ล้านบาท/ปี ไม่นับความเสียหายที่ประเมินค่าไม่ได้ที่ผู้เลี้ยงหมูรายย่อยนับหมื่นนับแสนรายที่จะต้องออกจากอาชีพ
คาดการณ์ว่าหลังการระบาดของโรคอหิวาต์แอฟริกันในหมู จะทำให้เกษตรกรรายย่อยและรายกลางสูญหายไปจากตลาดเป็นจำนวนมาก ทำให้ผู้ประกอบการรายใหญ่เป็นผู้ควบคุมระบบการผลิต การแปรรูป และการกระจายผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์ครบวงจรมากขึ้น สามารถกำหนดราคาเนื้อหมูได้ตามต้องการ อันชี้ให้เห็นว่าบริษัทยักษ์ใหญ่จะมีอำนาจเหนือตลาดมากขึ้นอีกด้วย
เชื่อว่าการปกปิดข้อมูลดังกล่าว ทำให้บริษัทขนาดใหญ่บางบริษัทได้ประโยชน์จากการที่หน่วยงานรัฐไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย โดยเฉพาะพรบ.โรคระบาดสัตว์ 2558 สมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย จึงจำเป็นต้องนำความมาร้องเรียนให้ผู้ตรวจการแผ่นดิน เพื่อให้แสวงหาข้อเท็จจริง เพื่อเสนอหน่วยงานรัฐตามอำนาจหน้าที่ต่อไป ตาม รธน.2560 ม.230(2) ประกอบ ม.51 และ ม.59 นายศรีสุวรรณ กล่าวในที่สุด”
‘ลูกชิ้นนำชัย’ ประกาศงดติดตรา ‘ฮาลาล’ ไปก่อน หลังพบ DNA หมูในลูกชิ้นเนื้อวัว
ลูกชิ้นนำชัย ประกาศงดติดตรา ฮาลาล ไปก่อน หลังจากที่พบ DNA หมูในลูกชิ้น คาดอาจปนมากับส่วนผสม รอตรวจสอบให้ชัดเจน เพจเฟซบุ๊กของ ลูกชิ้นนำชัย ยี่ห้อลูกชิ้นที่ก่อนหน้านี้ ได้ออกมาโพสต์ข้อความถึงกรณีที่ สำนักงานคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย ร่อนหนังสือชี้แจงกรณีตรวจพบ DNA หมูในลูกชิ้นเนื้อวัว พร้อมแนะผู้บริโภคมุสลิม ไม่ควรรับประทาน
โดยทางลูกชิ้นนำชัยระบุว่า “จากกรณีที่คณะกรรมการอิสลามประจำกทม. ได้ออกประกาศยกเลิกการใช้เครื่องหมายฮาลาลของผลิตภัณฑ์นำชัย เมื่อวันที่ 10 มกราคม 2565 โดยแจ้งผลว่าตรวจพบสารพันธุกรรม (DNA ) ของสุกรในผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯ
ทางบริษัทขอชี้แจงให้ลูกค้าทราบว่า ในทุกกระบวนการผลิตตั้งแต่วัตถุดิบหลักจนถึงส่วนประกอบต่างๆ ทางบริษัท ฯ ได้คัดสรร Supplier ที่ได้รับรองมาตรฐาน ฮาลาล เพื่อนำมาผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯ ซึ่งจากปัญหาดังกล่าว ทางบริษัทฯ จะทำการตรวจสอบขบวนการผลิตทั้งหมด ทั้งในแง่ของวัตถุดิบส่วนประกอบและในส่วนการผลิต อย่างละเอียดว่าเกิดปัญหาขึ้นในส่วนใด และจะนำผลไปยื่นแสดงให้คณะกรรมการอิสลามทราบ อีกครั้ง ทั้งนี้ บริษัทฯ ของยืนยันว่าเราไม่ได้นำเนื้อสุกรมาเป็นส่วนผสมอย่างแน่นอน บริบทของคำว่า ( DNA ) นั้น อาจเกิดจากส่วนประกอบอื่นๆ ต้องรอพิสูจน์ทราบกันอีกครั้ง ในระหว่างที่รอผลตรวจสอบทางบริษัทจะงดใช้ตราฮาลาลในผลิตภัณฑ์ทุกชนิด